วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มรยาทดี ๆ ในที่ทำงาน



มารยาทดีๆ ในที่ทำงาน
การรู้จักกาลเทศะ มีมารยาทและวางตัวดีในที่ทำงานจะช่วยให้การงานราบรื่น ช่วยผ่อนความเครียดที่อาจเกิดจากคนรอบข้างได้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคะกับการทำงานกับคนมากมายทุกๆ วันโดยที่คนเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อนหรือคนที่รู้จักคบหากันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้มารยาท และการวางตัวในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การงานราบรื่นขึ้น ลองนำเคล็ดลับไปใช้ดูซีคะ
1. ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัวคุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์
2. พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไรหากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน
3. ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงานคุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง
4. หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดีขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้
5. จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ยหากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15 นาที
6. ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่นคุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์
7. เจอเพื่อนร่วมงานกลางทางให้คุณเดินไปหาและทักทาย หากคุณไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานอยากจะทักคุณหรือไม่ ก็ให้คุณพยายามสบตาด้วย หากเธอมองไปทางอื่นก็แสดงว่าเธอไม่อยากทักทายคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ใกล้ประตูรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ก็ให้หยุดรอตอนขาลงและทักทายเธอ คุณก็จะได้เพื่อนร่วมทาง หรือหากคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องขึ้นรถเช้ากว่านี้เพื่อไม่ต้องเจอกันในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย
8. ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุมเพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม
9. การโต้ตอบอีเมลควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท
1. เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า
จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดังเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ ถ้าใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิด
ถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎีพบว่า "สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์" ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะเราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เรียนรู้ช้าและปัจจัยอะไรที่ทำให้เรียนรู้ได้เร็ว เมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจค้นพบตัวเองก็ได้
2. ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า
เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตัวเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า คิดไม่ชัดเจนหรือคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบ
3. ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว

1. เปลี่ยนความคิดจากทางลบ (Negative) มาเป็นทางบวก (Positive)
ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น- ต้องรู้ระบบความคิดของตนเองก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้ เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น- ตัดความคิดในทาง Negative ทิ้งแล้วใส่ความคิดในทาง Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น
2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจจากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือการสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิดทาง Negative ได้ชั่วคราว
3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใดถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากการพูดคุยกับผู้อื่น การอ่าน ต้องคิดหาตรรกะ (logic) ด้วยตนเอง ต้องเห็นด้วยตา ถ้าฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประิสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น จำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า - รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว- ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด กระตือรือร้นสูงสุด
4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมองจะช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำนอกจากจะทำให้มีความสดชื่น กระตือรือร้นแล้ว เมื่อออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมองทำงาน (function) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ สมองส่วนซ้าย ส่วนขวา และส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้สามารถใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วน ได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว
6. ควรเข้าใจการทำงานของสมองการทำงานของสมองในส่วนความจำจำทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้- ช่วงเช้า ความจำระยะสั้น
- ช่วงบ่าย ความจำระยะยาว
- ก่อนนอน ความจำเกี่ยวกับตัวเลข
4. ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดี จากการพูดคุยหรือจากการอ่าน เป็นต้น ดังนั้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังนี้
1. การสร้างความจำ
ทางกายภาพสมองมนุษย์สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ภายในเวลา 1/1000 วินาที ข้อมูลที่ได้รับจะอยู่ภายในสมองครบถ้วนโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจาก "การลืม" ทุกครั้งที่ได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10% จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเรา
2. การอ่าน
information if power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่ง และอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรก คือ ถามตัวเองก่อนว่า "เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้"
เทคนิคในการอ่านเร็ว
1. ควรอ่านไม่มีเสียง อ่านในใจ
2. การอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา Key concept แล้วตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านหรือไม่ เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง รวมทั้งอ่านเจาะประเด็น ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านทุกหน้า
3. ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่าน คือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล โดยการพิจารณาจากความทันสมัย (update) ของข้อมูล สำนักพิมพ์ เป็นต้น
3. การฟัง
ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมอง ถ้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะ ๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูกบันทึก (memory) ลงในสมอง ซึ่งมีกลวิธี ดังนี้
1. ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า "ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร"
3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่หรือไม่ใช่
4. การคิด
คนที่ประสบ่ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ ในเรื่องที่มีประโยชน์ที่มา : สลค. สาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 5 เดือนพฤษฎาคม 2549http://www.moe.go.th/check/newnaru13.htm

แบบฝึกหัดบทที่ 4

แบบฝึกหัดบทที่ 4
1. มนุษย์สัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญต่อองค์การอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ มนุษย์สัมพันธ์หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้
ซึ่งมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ มนุษย์สัมพันธ์อันดี กับมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี ถ้ามีมนุษย์สัมพันธ์อันดี บุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกัน และมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงานช่วยเหลือแบ่งปันกัน แต่ถ้ามนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี บุคคลในองค์การหรือสังคมนั้นมักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกันไม่ร่วมมือกัน ไม่ช่วยเหลือต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือสังคมนั้นๆเกิดความเสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุข ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆไม่มากก็น้อย
2. กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์อันดี มีลักษณะที่ดีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ 1. มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย โดยทุกคนต่างมีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็นต่องาน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งการทำงานร่วมกันในแบบประชาธิปไตยจะช่วยเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในหน่วยงานได้
2. มีความไว้วางใจและเชื่อใจในความสามารถซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน ไม่ก้าวก่ายกัน เพราะการก้าวก่ายมักก่อให้เกิดความขัดแย้ง และสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
3. มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน สามารถสร้างความเข้าใจในงานร่วมกันและยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย ถ้ามีการติดต่อสื่อสารที่ดีจะมีส่วนส่งเสริมประสิทธิภาพของงานในการทำงานอยู่ร่วมกันในกลุ่มงานที่ดีนั้น มักใช้การสื่อสารสองทางหรือหลายทางมากกว่าการสื่อสารทางเดียว
4. มีการช่วยเหลือกันในขอบเขตที่เหมาะสม การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน จักว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร ซาบซึ้งใจพึงพอใจเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม
5. มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ คือ มีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดี มักส่งผลให้งานสำเร็จและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
6. มีการร่วมมือที่ดี เป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางเดียวกันของสมาชิกกลุ่ม คือแต่ละบุคคลจะได้รับความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อกลุ่มได้รับความสำเร็จ ดังนั้นจึงจัดได้ว่าในการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อให้กลุ่มทำงานสำเร็จได้ ก็จัดว่ากลุ่มดังกล่าวมีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
7. ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะที่เอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คือมีลักษณะส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี เช่นสมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทำงานนั้นรู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีดำเนินงานกลุ่ม รู้นโยบายและเป้าหมายของงาน มีความเป็นกันเองคบคนง่ายมีลักษณะให้กำลังใจผู้อื่น ฯลฯ ด้วยลักษณะของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวนี้ มักส่งผลให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
3. แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติอย่างไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ 1. ให้ความสนใจเพื่อร่วมงาน คือบุคคลส่วนใหญ่ชอบให้ผู้อื่นสนใจ ดังนั้น จึงควรให้ความสนใจเพื่อนร่วมงานโดยการทักทายปราศรัย ถามในสิ่งดีๆ ของเพื่อนร่วมงาน
2. ยิ้มแย้ม คือการยิ้มของบุคคลที่ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง มักถึงแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชื่น ชอบพอ รักใคร่ จึงเห็นได้ว่าการยิ้มเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสัมพันธภาพโดยไม่จำกัดสถานะ
3. แสดงการจำได้ วิธีการแสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ จำเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ดีๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกันกับความสำเร็จที่เพื่อนได้รับ จำวันเกิด วันสมรสของเพื่อนได้
4. เป็นคู่สนทนาที่ดี การแสดงตนเป็นคู่สนทนาที่ดีของเพื่อนร่วมงานนั้น อาจโดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดคุยตามความต้องการของเขา ทั้งนี้โดยต้องฟังอย่างตั้งใจฟังเพื่อให้จับใจความได้และตอบสนองตอบคำพูดของคู่สนทนา
5. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือไม่ผูกขาดอยู่กับความคิดของตนเองข้างเดียว ผู้ที่ผูกขาดความคิดเห็นของตนมักเป็นคนที่ชอบเอาชนะเมื่อแสดงความคิดเห็น ถือเอาความเห็นของตนว่าสำคัญกว่าความเห็นของผู้อื่น มักโต้แย้งความเห็นของผู้อื่น ฯลฯ การแสดงต่อผู้อื่น โดยวิธีนี้มักทำให้ขาดเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคม หัวหน้างานก็มักไม่อยากมอบหมายงานให้ทำงานสำคัญ
6. แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ ทั้งนี้เนื่องจากเพื่อนร่วมงานของเรานั้น บางคนมีอาวุโสด้านอายุอาจสูงส่งด้วยชาติตระกูล อาจมีความรู้สูง อาจมีทักษะประสบการณ์เหนือผู้อื่น หรืออาจมีตำแหน่งงาน เหนือใครอยู่บ้าง ผู้มีจิตใจสูง มีวุฒิภาวะของความเป็นผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนร่วมงานตามสถานภาพนั้นๆ
7. แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่น อาจแสดงออกได้หลายแนวทาง เช่นการเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ ให้อภัย ให้กำลังใจ คุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยซึ่งควรรักษาไว้
8. แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องจากเพื่อนร่วมงานแต่ละคนในหน่วยงาน มักมีวันพิเศษหรือเหตุการณ์สำคัญของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เช่น อาจจะเป็นวันรับรางวัลพิเศษ การได้เหรียญเชิดชูเกียรติ ซึ่งจัดว่าเป็นการแสดงน้ำใจให้ความสนใจ และยอมรับเพื่อนร่วมงานในความสำเร็จนั้นๆด้วย
4. การวางตนตามสถานะและบทบาทในองค์การแบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ 3 ระดับ ได้แก่1. การวางตนในการร่วมกับผู้บังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชา มี่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและเป็นผู้ต้องรับผิดชอบงานในที่ทำงานเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความเคารพนับถือ ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุและบทบาทหน้าที่
2. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีบทบาทสูงต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุด และงานหลายงานก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือและน้ำใจช่วยเหลือกัน ดังนั้น การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันนั้น จึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้ให้มากที่สุด
3. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยการคำนึงอยู่เสมอว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคือฝ่ายปฏิบัติงานในหน่วยงาน เปรียบเสมือนมือและเท้าของผู้บริหาร ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความสุขในการทำงานก็มักส่งผลเสียต่องาน และมีผลกระทบทางลบมาถึงผู้บังคับบัญชาได้ในที่สุด นอกจากนั้น ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วก็คือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควรต้องให้ความสำคัญกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศของความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Gurn Yu




@ กวนอู @

กวนอูเกิดในปี ค.ศ.162 แต่เดิมชื่อเผิงเสียน ชื่อรองเดิมว่าฉางเซิง(1) เขาไปฆ่าปลัดอำเภอกับน้าชายปลัดอำเภอตาย จึงต้องหนีการตามล่าของทางการไปจนถึงด่านถงกวาน นายด่านที่รักษาด่านเห็นว่ามีพิรุธจึงถามว่าชื่อแซ่อะไร เขาตกใจพูดอะไรไม่ออกเอาแต่ชี้ไปที่ด่านนั้น นายด่านก็ถามว่าแซ่กวาน(กวน)หรือ กวนอูจึงตอบไปว่าใช่ นับจากนั้นเขาจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อกวานหยู่หรือกวนอู และก็เปลี่ยนชื่อรองเป็นหยุนฉาง(2) กวนอูหลบหนีมาจนถึงอำเภอจุ่ยบ้านเกิดของเล่าปี่กับเตียวหุย วันหนึ่งเขาเดินเข้าไปในร้านเหล้าและตะโกนว่า "รีบเอาเหล้ามา กินแล้วเราจะไปอาสาแผ่นดิน" ขณะนั้นเล่าปี่และเตียวหุยกำลังกินเหล้ากันอยู่พอดี เล่าปี่เห็นกวนอูท่าทางห้าวหาญจึงเข้าไปทักทาย ทั้งสามคนคุยกันจนถูกคอ จึงได้สาบานเป็นพี่น้องกันที่สวนท้อหลังบ้านของเตียวหุย โดยเล่าปี่เป็นพี่ใหญ่ กวนอูเป็นพี่รอง และเตียวหุยเป็นน้องเล็ก ทั้งสามคนได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมาเพื่อจัดการกับโจรโพกผ้าเหลืองที่ออกสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน โดยมีผู้บริจาคม้าและเหล็กสำหรับทำอาวุธแก่กองทัพ ทั้งสามก็ได้นำเอาเหล็กมาหลอมเป็นอาวุธ โดยกวนอูนั้นใช้ง้าวมังกรเขียว(3)เป็นอาวุธ ต่อมาเล่าปี่ได้บำเหน็จความชอบ ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักเป็นผู้บังคับกองทหารอำเภออานสี่เมื่อปี ค.ศ.184 มีกวนอูเตียวหุยเป็นผู้ช่วย ต่อมาเตียวก๊ก เตียวโป้ และเตียวเหลียงแกนนำโจรโพกผ้าเหลืองตายลง เล่าปี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภออานสี่(ฉบับท่านเจ้าพระยาพระคลังว่าเป็นเมืองอันห้อก้วน) ค.ศ.185 ผู้ตรวจราชการจากนครหลวงมีนามว่า ต๊กอิ้ว เดินทางมาตรวจสอบงานราชการ ณ อำเภออานสี่ ผู้ตรวจคนนี้ต้องการเงินสินบน แต่เล่าปี่ไม่มีให้จึงถูกผู้ตรวจทำรายงานใส่ร้ายส่งให้เมืองหลวง เตียวหุยโกรธมากจึงจับตัวต๊กอิ้วมาโบยตีต่อหน้าชาวบ้าน แล้วทั้งสามพี่น้องก็หนีออกจากอำเภออานสี่ไป ค.ศ.188 เล่าปี่ไปอยู่กับกองซุนจ้านเพื่อนสมัยเรียน กองซุนจ้านให้เล่าปี่ไปเป็นนายอำเภอผิงหยวน ต่อมาขุนศึกเจ้าเมืองเสเหลียง...ตั๋งโต๊ะ ได้ยกทัพเข้าไปแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวง เขาสามารถยึดอำนาจส่วนกลางของราชวงศ์ฮั่นไว้ได้ เขาปลดฮ่องเต้เด็กหองจูเปียนออกและตั้งหองจูเหียบเป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งเป็นเพียงกษัตริย์หุ่นภายใต้การชักนำของเขาเท่านั้น โจโฉทนตั๋งโต๊ะไม่ได้จึงหนีออกไปรวบรวมกองทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองในปี ค.ศ.189 ปีเดียวกับที่ตังโต๊ะยึดอำนาจได้นั้นเอง ค.ศ.190 กองทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองยกให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำกองทัพ ซึ่งเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยก็ได้ไปในกองทัพครั้งนี้ด้วย โดยเล่าปี่เป็นทหารในสังกัดของกองซุนจ้าน ส่วนกวนอูเป็นนายทหารม้ามือธนู อ้วนเสี้ยวส่งซุนเกี๋ยนเข้าโจมตีตั๋งโต๊ะแต่ก็แพ้กลับมาเพราะอ้วนสุดไม่ยอมส่งเสบียงไปให้ทัพของเขา ฮัวหยงแม่ทัพซ้ายของตั๋งโต๊ะได้มาท้ารบและฆ่าแม่ทัพของฝ่ายพันธมิตรตายลงไปคนแล้วคนเล่า ในที่สุดกวนอูจึงขออาสาไปต่อสู้กับฮัวหยง ในชั้นแรกอ้วนเสี้ยวโกรธมากที่กวนอูที่เป็นเพียงทหารม้ามือธนูกลับกำแหงจะไปรบกับแม่ทัพอย่างฮัวหยง แต่โจโฉห้ามไว้ และให้กวนอูออกไปสู้กับฮัวหยง ปรากฏว่ากวนอูสามารถปลิดชีพฮัวหยงได้ในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น(4) และแล้วลิโป้ก็ออกมาสู้รบเอง ขุนศึกฝ่ายพันธมิตรพ่ายแพ้คนแล้วคนเล่า เตียวหุยน้องคนเล็กก็ได้อาสาออกไปรบกับลิโป้ เมื่อรบกันได้สี่สิบเพลงกวนอูก็เข้าไปช่วย และเมื่อรบกันอีกสักพักเล่าปี่ก็เข้าไปร่วมวงด้วย ปรากฏว่าลิโป้ซึ่งได้ชื่อว่าไม่เคยแพ้ใครถึงกับต้องถอยกลับไปเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งทำให้สามพี่น้องร่วมสาบานมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว กวนอูเองก็ได้รับการสรรเสริญว่ามีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลิโป้ผู้ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นเทพนักรบเลย(5) แต่สุดท้ายกองทัพพันธมิตรก็แตกคอกันเองและต้องแยกทางกันไป สามพี่น้องก็ได้ยกทัพกลับไปกับกองซุนจ้าน หลังจากนั้นไม่นานในปี ค.ศ.192 ลิโป้กับอ้องอุ้นร่วมมือกันฆ่าตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ แต่ทั้งสองก็กุมอำนาจไม่นาน ลิฉุยกุยกีลูกน้องของตั๋งโต๊ะยกทัพเข้าลกเอี๋ยงได้ในเวลาไม่นานนัก ในปี ค.ศ. 193 โจโก๋บิดาของโจโฉถูกฆ่าตายโดยเตียวคีอดีตโจรโพกผ้าเหลืองซึ่งเป็นลูกน้องของโตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋ว(6) โจโฉยกทัพเข้าตีชีจิ๋ว เล่าปี่ยกทัพมาช่วยโตเกี๋ยม เขาเขียนสารขอให้โจโฉหยุดยั้งการตีชีจิ๋ว ประกอบกับขณะนั้นมีข่าวว่าลิโป้กำลังยกทัพเข้ามาตีกุนจิ๋ว โจโฉจึงถอยทัพไป ส่วนเล่าปี่ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองชีจิ๋วในปี ค.ศ.193 ส่วนกวนอูได้เป็นปลัดเมืองเซี่ยพีที่อยู่ใกล้ๆนั้นเอง ต่อมาไม่นานลิโป้ที่ถูกโจโฉตีจนทัพแตกพ่ายก็หนีมาอยู่กับเล่าปี่ เล่าปี่ก็ให้ลิโป้ไปอยู่เมืองเสียวพ่าย ปี ค.ศ.196 ลิฉุยกับกุยกีขัดแย้งกันเองจนพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จหนีออกไป และไปพบกับกองทัพของโจโฉ โจโฉนำเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับโลหยาง(ลกเอี๋ยง) แต่เห็นว่าทรุดโทรมเกิรกว่าจะบูรณะจึงย้ายเมืองหลวงไปยังฮูโต๋ ส่วนเล่าปี่ตอนนั้นได้ยกทัพไปตีอ้วนสุดพร้อมกับกวนอู ให้เตียวหุยรักษาเมือง กวนอูไปรบครั้งนี้ได้สร้างวีรกรรมตัดคอกิเหลงแม่ทัพของอ้วนสุดตายได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องได้ทราบข่าวร้ายจากเตียวหุยว่าลิโป้ยึดชีจิ๋วไปแล้ว เล่าปี่เดินทางกลับไปชีจิ๋ว ลิโป้อ้างว่าต้องการควบคุมสถานการณ์ และให้เล่าปี่ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายแทน ต่อมาในปีเดียวกัน เล่าปี่ก็หนีไปขอพึ่งโจโฉ ซึ่งในช่วงนี้กวนอูก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยกย่องกวนอูว่าเป็น "เฒ่าหนวดงาม" โจโฉช่วยเล่าปี่ปราบลิโป้ได้สำเร็จในปี ค.ศ.198 ในช่วงที่โจโฉช่วยเล่าปี่ปราบลิโป้นี้มีเกร็ดเล็กๆเกี่ยวกับกวนอูอย่างหนึ่งที่หลอกว้านจงไม่ได้นำมาใส่ไว้ในบทงิ้ว นั่นคือกวนอูติดใจหญิงสาวคนหนึ่งถึงขนาดออกปากขอจากโจโฉ นางคือ ตู้สื้อ เป็นภรรยาของขุนนางคนหนึ่งของลิโป้ที่มีนามว่า ฉินหยีลู่ แต่โจโฉก็ไม่ยอมยกนางตู้สื้อให้กับกวนอู เพราะโจโฉเองก็เป็นเสือผู้หญิงตัวยงในยุคนั้นทีเดียว เขาจึงเก็บนางตู้สื้อเอาไว้เชยชมเสียเอง เหตุการณ์นี้มีบันทึกในจดหมายเหตุหัวหยางกว๋อจื้อของเฟยฉงจือและสามก๊กจี่ของเฉินโซ่ว(ตันซิ่ว)ด้วย จึงน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้เทพเจ้ากวนอูมัวหมองไป จึงถูกตัดออกจากบทงิ้วก็เป็นได้ ต่อมาในปี ค.ศ.200 โจโฉให้เล่าปี่ยกทัพไปปราบอ้วนสุด แต่อ้วนสุดตายเสียก่อน เล่าปี่ก็ยกทัพไปตีเอาชีจิ๋วซึ่งขณะนั้นเป็นของโจโฉคืนมา โจโฉโกรธมากยกทัพใหญ่มาตีทัพเล่าปี่แตกพ่าย เล่าปี่กับเตียวหุยหนีเตลิดไปคนละทาง กวนอูต้องยอมจำนนโดยมีเงื่อนไข 3 ข้อ(7) คือ 1 กวนอูยอมรับใช้ราชวงศ์ฮั่นและพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ใช่โจโฉ 2 พี่สะใภ้ทั้งสองนั้น กวนอูจะปรนิบัติดูแลอยู่ด้วย โจโฉต้องรับรองไม่ให้ใครมากล้ำกราย 3 ถ้ากวนอูรู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใดก็จะไปหาทันที ไม่ต้องร่ำลาโจโฉและไม่ให้โจโฉห้ามปรามด้วย โจโฉยอมรับเงื่อนไขสามข้อนี้ กวนอูจึงมาอยู่กับโจโฉ โจโฉแต่งตั้งให้กวนอูเป็นฮั่นโซ้วถิงโหวหรือพระยาพิทักษ์ฮั่น โจโฉปรนเปรอกวนอูด้วยทรัพย์สมบัติและอื่นๆอีกมากเพื่อให้กวนอูยอมรับใช้ตนเอง แต่กวนอูก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ โจโฉจึงมอบม้าเซ็กเทาอดีตม้าศึกของเทพสงครามอย่าง






ลิโป้ให้กวนอู ปรากฏว่ากวนอูดีใจมาก โจโฉจึงถามถึงสาเหตุ กวนอูก็ตอบว่าเพราะจะสามารถขี่ม้าเซ็กเทาวิ่งไปหาเล่าปี่ได้ทันที โจโฉจึงประทับใจในตัวกวนอูยิ่งนัก ในขณะที่กวนอูอยู่กับโจโฉนั้น แม้โจโฉจะชื่นชมกวนอูอย่างมากก็ตาม แต่เขาสังเกตสีหน้ากวนอูได้ว่ากวนอูคงจะอยู่กับเขาไม่นาน โจโฉจึงส่งเตียวเลี้ยวไปถามสาเหตุ กวนอูฟังคำเตียวเลี้ยวแล้วก็ทอดถอนใจกล่าวว่า "ข้าทราบเป็นอย่างดีว่าท่านโจโฉได้ปฏิบัติต่อข้าดียิ่ง หากแต่ท่านเล่าปี่ได้มอบความเมตตาให้แก่ข้าอย่างมหาศาล ข้าสาบานที่จะตายพร้อมกับเขา ข้าไม่อาจผิดคำสาบานที่ให้ไว้ได้ ยังไงเสียข้าก็จะต้องจากท่านโจโฉไป แต่ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่านโจโฉเสียก่อนอย่างแน่นอน" โจโฉได้ฟังที่เตียวเลี้ยวเล่าก็เห็นว่าเป็นการยุติธรรมดี และยิ่งเพิ่มความชื่นชมในตัวกวนอูยิ่งขึ้นไปอีก ต่อมาโจโฉยกทัพไปรบกับอ้วนเสี้ยว งันเหลียงขุนศึกของอ้วนเสี้ยวฆ่าขุนศึกโจโฉตายไปหลายคน กวนอูได้อาสาออกรบ เขาควบม้าวิ่งเข้าไปหางันเหลียงท่ามกลางดงข้าศึก และสามารถฆ่างันเหลียงได้ในการรบเพียงไม่กี่กระบวนซึ่งบางฉบับยังว่ากระบวนเดียวซะด้วยซ้ำไป ต่อมาก็สามารถกำจัดบุนทิวนายทหารเอกอีกคนของอ้วนเสี้ยวลงได้(8) ในการศึกครั้งนี้เขาได้พบกับเล่าปี่ในสนามรบด้วย กวนอูจึงคิดจะหนีโจโฉไปหาเล่าปี่พร้อมกับฮูหยินทั้งสอง เมื่อโจโฉรู้ว่ากวนอูจะไปแน่ๆจึงมอบทรัพย์มากมายแก่กวนอู แต่กวนอูไม่ได้รับของเหล่านั้นไว้เลยแม้แต่น้อย เขาเขียนจดหมายขออภัยต่อโจโฉและจากไปทันที ลูกน้องของโจโฉบางคนพยายามไล่ตาม แต่โจโฉกล่าวว่า "บุรุษผู้นั้นได้เลือกนายของเขาแล้ว จงปล่อยเขาไปเถิด" อย่างไรก็ตาม ในการหนีครั้งนี้กวนอูได้ฆ่าทหารนายด่านของโจโฉตายไปมากมายในเหตุการณ์ "หักห้าด่านสังหารหกนายพล"(9)อีกด้วย ระหว่างทางที่กวนอูหนีก็มาเจอกับเตียวหุย เตียวหุยโกรธมากที่กวนอูไปยอมจำนนโจโฉจึงไล่ฟันกวนอู พอดีกับที่ทหารโจโฉตามมา กวนอูจึงฆ่าทหารโจโฉเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตน เตียวหุยจึงเชื่อกวนอูและพากันไปหาเล่าปี่ที่อยู่กับอ้วนเสี้ยว ซึ่งต่อมาเล่าปี่ก็ได้หนีไปจากอ้วนเสี้ยว และลงใต้ไปขอพึ่งเล่าเปียวในปี ค.ศ.201 ค.ศ.207 เล่าปี่ได้พบกับจอมปราชญ์สุมาเต๊กโช เล่าปี่ได้ถามเขาถึงบัณฑิตผู้มีความสามารถ สุมาเต๊กโชกล่าว่าขงเบ้งและบังทองคือบัณฑิตนั้น เล่าปี่จึงได้ไปเชิญตัวขงเบ้งมาช่วยงาน โจโฉยกทัพล่องใต้มายังเกงจิ๋ว และส่งแฮหัวตุ้นมาปราบเล่าปี่ ขงเบ้งได้ใช้ความสามารถในการวางกลยุทธ์เผาทัพของแฮหัวตุ้นจนราบคาบ แต่ต่อมาโจโฉได้ยกทัพใหญ่มาด้วยตนเอง เล่าจ๋องผู้ครองเกงจิ๋วต่อจากเล่าเปียวประกาศยอมแพ้ เล่าปี่จึงต้องหนีต่อไปพร้อมกับประชาชนจำนวนมากในปีถัดมา(ค.ศ.208) ขงเบ้งได้ไปขอกำลังเสริมจากเล่ากี๋บุตรเล่าเปียว ณ แฮเค้า ส่วนกวนอูได้รับมอบหมายให้นำทหารและประชาชนส่วนหนึ่งอพยพไปทางเรือก่อน หลังจากนั้นเล่าปี่ได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับซุนกวน โจโฉยกทัพใหญ่มาอีกแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยินในศึกที่เรียกกันว่าศึกเซ็กเพ็ก ซึ่งตามบทงิ้วของหลอกว้านจงเขียนว่า ขงเบ้งได้วางแผนให้จูล่ง เตียวหุย กวนอู ไปซุ่มสกัดทัพของโจโฉในที่ต่างๆกัน โจโฉสามารถฝ่าสองคนแรกมาได้ แต่มาเจอกับกวนอูที่ด่านสุดท้าย แต่แล้วกวนอูก็ปล่อยโจโฉไปเพราะเห็นแก่บุญคุณเก่าก่อน ขงเบ้งทราบเรื่องก็กล่าวว่า ที่จริงเขาได้วางแผนไว้เช่นนี้อยู่แล้วเพื่อให้กวนอูได้ชำระบุญคุณกับโจโฉให้จบกันไป(10) แต่แล้วเล่าปี่กลับลอบโจมตีหัวเมืองของเกงจิ๋วตอนล่างไว้ได้ ในศึกนี้กวนอูได้รับหน้าที่เข้าตีเมืองเตียงสา เขาได้พบกับฮองตงยอดนักรบเฒ่าผู้มีฝีมือร้ายกาจ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี แต่ม้าของฮองตงสะดุดล้ม ฮองตงตกม้าลงไปกองกับพื้น แต่กวนอูไม่ซ้ำเติมและบอกให้ไปเปลี่ยนม้ามาสู้ใหม่ หลังจากสู้กันสักพักฮองตงก็ถอยเข้าเมืองไป วันต่อมาฮันเหียนเจ้าเมืองสั่งให้ฮองตงยิงธนูดับชีพกวนอูเสีย ฮองตงแกล้งยิงพลาดมาถูกหมวกกวนอูเพื่อตอบแทนกวนอู แต่ฮันเหียนหาว่าฮองตงกบฏและจะประหาร อุยเอี๋ยนทหารในเมืองได้ก่อการจลาจลและฆ่าฮันเหียน เปิดเมืองเตียงสาให้กับกวนอู ฮองตงกับอุยเอี๋ยนจึงสวามิภักดิ์กับเล่าปี่ เล่าปี่สามารถยึดเกงจิ๋วตอนล่างไว้ได้ในปี ค.ศ.209(11) ในปี ค.ศ.211 เล่าปี่ยกทัพสู่ตะวันตกเตรียมทำศึกยึดเอ๊กจิ๋ว(เสฉวน) โดยเอาหวดเจ้ง บังทองไปเป็นกุนซือ ส่วนขงเบ้ง กวนอู จูล่ง เตียวหุย ได้ถูกมอบหมายให้รักษาเกงจิ๋วตอนล่าง ในระหว่างที่รบกับเล่าเจี้ยงแห่งเสฉวนอยู่นั้น เล่าปี่ได้ให้เตียวหุยกับจูล่งตามไปรบด้วย หัวเมืองเกงจิ๋วจึงเหลือเพียงกวนอูและขงเบ้งรักษาไว้ ในปี ค.ศ.214 เล่าปี่ก็ยึดเสฉวนได้ และขงเบ้งก็ถูกตามตัวไปช่วยงานบริหารราชการเสฉวน เหลือเพียงกวนอูรักษาเกงจิ๋วอยู่ผู้เดียว ก่อนที่ขงเบ้งจะไปเสฉวน เขาถามกวนอูว่าถ้าฝ่ายโจโฉหรือซุนกวนยกทัพมาตีเกงจิ๋วจะทำอย่างไร กวนอูตอบว่าเขาจะนำทหารออกไปสู้จนตัวตาย ขงเบ้งส่ายหน้า "นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง" ขงเบ้งกล่าว "ท่านควรผูกมิตรกับซุนกวน แล้วตีโจโฉจึงจะควร" กวนอูรับฟัง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจนัก ซึ่งพฤติกรรมช่วงหลังของเขาจะสามารถยินยันข้อนี้ได้ดี ปี ค.ศ.215 ซุนกวนส่งจูกัดกิ๋นไปทวงเกงจิ๋วจากเล่าปี่ เล่าปี่อ้างว่าจะยึดมณฑลเลงจิ๋วเสียก่อนจึงจะคืน ซุนกวนกล่าวว่า "เล่าปี่ต้องการยืดเวลาด้วยคำพูดไร้สาระ" เขาส่งขุนนางง่อไปปกครองเมือง3เมือง คือ เลงเหลง เตียงสา และฮุยเอี๋ยง แต่ขุนนางง่อถูกกวนอูไล่ตะเพิดกลับไป ซุนกวนยิ่งโกรธมากขึ้น ส่งลิบองกับทหารสามหมื่นเข้ายึดสามเมืองข้างต้นได้สำเร็จ แต่เล่าปี่ได้มอบทหารให้กวนอูไปยึดสามเมืองคืนมา โลซกมาเจรจาทวงเกงจิ๋วคืนจากกวนอู โดยให้ทหารพักรบกันไว้ก่อน เขากล่าวตำหนิการปฏิเสธที่จะคืนเมืองของฝ่ายเล่าปี่ กวนอูตอบว่า "ในการโจมตี Wulin ท่านเล่าปี่เป็นผู้นำทัพต่อสู้ด้วยตนเอง แล้วเหตุใดเล่าเขาจึงไม่ได้รับผลตอบแทนแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่งของแผ่นดิน" "หาใช่เช่นนั้นไม่" โลซกตอบ "เมื่อครั้งแรกที่ข้าพบกับท่านเล่าปี่ กองทัพของเขาเหลือไม่มากไปกว่าทัพหน่วยย่อยของขุนพลเท่านั้น เสบียงอาหารก็กำลังจะหมด ขวัญทหารก็หดหาย อำนาจก็แทบไม่เหลือ ในตอนนั้นท่านเล่าปี่สูญเสียกำลังใจจะทำสิ่งใด และกำลังวางแผนจะหนีไปให้ห่างไกลมิใช่หรือ ท่านซุนกวนได้ช่วยเหลือเล่าปี่ เขาใจกว้างกับท่านเล่าปี่ยิ่งนัก เขามอบดินแดนและทุกอย่างที่ท่านเล่าปี่ต้องการเพื่อป้องกันตนเอง เวลานี้ท่านเล่าปี่กลับประพฤติตนเป็นผู้เห็นแก่ตัว เขาปิดบังความจริง ละเมิดคุณธรรมและหลักที่ควรปฏิบัติ แล้วยังจะยึดเกงจิ๋วเอาไว้เสียอีก พฤติกรรมเช่นนี้แม้กระทั่งราษฎรสามัญก็ยังละอายแก่ใจ ยิ่งผู้ที่เป็นผู้ปกครองและสั่งการผู้คน ก็ย่อมต้องละอายใจยิ่งกว่า" กวนอูได้ยินดังนั้นก็เงียบไป ไม่ตอบคำโลซก ในความบาดหมางของฝ่ายจ๊กกับง่อครั้งนี้ยังมีเกร็ดอย่างหนึ่งที่หลอกว้านจงไม่ได้นำมาใส่ไว้ในบทงิ้วของเขา คือตอนที่กวนอูคุมทหารสามหมื่นมาโจมตีซุนกวนที่ Yiyang กำเหลงเป็นทหารคนหนึ่งที่ร่วมกับโลซกในการต้านทานกวนอูครั้งนั้น ในศึกครั้งนั้น กวนอูนำทหารชำนาญศึกห้าพันนายเดินทัพไปทางต้นน้ำระยะประมาณสิบลี้ซึ่งมีระดับน้ำพอจะเดินเท้าได้ เพื่อเตรียมตัวข้ามน้ำไปลอบโจมตียามค่ำคืน ในเวลานั้น กำเหลงซึ่งมีทหารเพียง 300 นาย กล่าวแก่โลซกว่า "ขอทหารให้ข้าอีกห้าร้อยคน ข้าจะนำทัพไปเผชิญหน้ากับกวนอูเอง ข้ามั่นใจว่าถ้ากวนอูรู้ว่าข้ายกทัพมาเอง เขาจะต้องไม่กล้าข้ามแม่น้ำอย่างแน่นอน" โลซกจึงมอบทหารให้กวนอูอีกพันนาย กำเหลงจึงยกทัพไปเผชิญหน้ากับทัพกวนอูในคืนนั้นเอง ส่วนกวนอูเมื่อรู้ว่ากำเหลงยกทัพมาก็หยุดเดินทัพและตั้งค่าย ณ ที่นั้น นับตั้งแต่นั้นชาวบ้านก็เรียกบริเวณที่กวนอูไม่ข้ามน้ำมาโจมตีกำเหลงว่า "หาดกวนอูขยาด" หรือ "หนองน้ำกวนอู" หลังการเจรจาครั้งนั้นไม่นาน โจโฉยกทัพโจมตีฮั่นจง เล่าปี่จึงทำสัญญาสงบศึกกับซุนกวน ซุนกวนส่งจูกัดกิ๋นไปเป็นทูตเจรจาเรื่องมณฑลเกงจิ๋ว ผลการเจรจาเป็นเอกฉันท์ว่า ให้ใช้แม่น้ำ Xiang เป็นตัวแบ่งเขตแดน เตียงสา กังแฮ และฮุยเอี๋ยงทางตะวันออกเป็นอาณาบริเวณปกครองของง่อก๊ก ขณะที่เมืองหนานจวุ้น เลงเหลงและบุเหลงเป็นอาณาบริเวณปกครองของจ๊กก๊ก ต่อมาซุนกวนส่งจูกัดกิ๋นพี่ชายของขงเบ้งมาเจรจาขอบุตรสาวกวนอูไปเป็นสะใภ้ กวนอูกลับด่าจูกัดกิ๋นซะสาดเสียเทเสีย เขาถึงกับกล่าวว่า "อันบุตรของเรานี้ชาติเชื้อเหล่าเสือ ไม่สมควรจะให้แก่สุนัข" และยังกล่าวว่าถ้าไม่เห็นแก่ที่จูกัดกิ๋นเป็นพี่ชายขงเบ้งจะฆ่าทิ้งเสีย ทำให้ซุนกวนโกรธแค้นมาก(12) ค.ศ.217 กวนอูที่อยู่เกงจิ๋วได้เกณฑ์ทหารและซ่องสุมกำลังรบมากขึ้น กิมหัน เกงจี อุยหลง หมอเกียดเป๋งและบุตรชายเกียดเมา เกียดบก วางแผนจะฆ่าอองปิดผู้ซึ่งโจโฉมอบหมายให้ดูแลราชการเมืองฮูโต๋ในตอนนั้น ใช้ฮ่องเต้เป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านโจโฉ และส่งสารไปขอให้กวนอูยกทัพหนุนมาจากเกงจิ๋ว แต่สุดท้ายแผนนี้ก็ไม่สำเร็จ คนทั้งหมดที่ร่วมก่อการถูกอองปิดจับได้ในปีต่อมา (ค.ศ.218) และถูกประหารทั้งหมด เวลาล่วงเลยไปจนถึงปี ค.ศ.219 เล่าปี่ยึดครองฮั่นจง(ฉบับเจ้าพระยาพระคลังเรียกว่าฮันต๋ง)ได้และสถาปนาตนเป็นฮั่นจงอ๋อง แต่งตั้งให้กวนอูเป็นเฉียนเจียงจวินยศนายพลทัพหน้า บทงิ้วของหลอกว้านจงเขียนว่า กวนอูไม่พอใจและส่งสาส์นไปถามขงเบ้งว่า "เตียวหุยเป็นน้องเราถือว่าสมควร ส่วนจูล่งติดตามเรามานานปีก็สมควร แต่ม้าเฉียวและฮองตงเล่ามีดีอันใด" ขงเบ้งต้องส่งจดหมายไปสรรเสริญว่ากวนอูไร้เทียมทาน กวนอูจึงยอมสยบ(13) ส่วนสามก๊กฉบับประวัติศาสตร์กล่าวว่า เล่าปี่ตั้งกวนอูเป็นแม่ทัพหน้า และฮองตงเป็นแม่ทัพขวา บีสีนายพันทหารหน่วยหน้ามณฑลเสฉวนได้รับมอบหมายให้นำตราตั้งไปมอบให้กวนอู กวนอูเมื่อทราบว่าฮองตงได้เป็นแม่ทัพระดับเดียวกับตนก็โกรธมาก เขากล่าวว่า "ข้าดีกว่าเจ้าโง่นั่นมากนัก" และปฏิเสธตำแหน่งนายพลนี้ แต่บีสีได้กล่าวต่อกวนอูว่า "การทำการใหญ่ไม่อาจมีมิตรสหายเพียงคนเดียว ในอดีตนั้น เซียวเหอและเฉาเซิน(14)ต่างเป็นเพื่อนเก่าที่ร่วมทำงานมากับฮั่นเกาจู่หลิวปังปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ขณะที่หันซิ่นกับ เฉินผิง มาทีหลังในฐานะผู้อพยพ เมื่อฮั่นเกาจู่ทำการสำเร็จ หันซิ่นได้รับตำแหน่งใหญ่ที่สุดเป็นถึงฉีอ๋อง แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่าท่านเซียวเหอและท่านเฉาเซินจะไม่พอใจในเรื่องนี้แต่อย่างใดเลย ถ้าฮั่นจงอ๋องผู้ต้องการรักษาเกียรติแห่งราชวงศ์ฮั่นจะมอบรางวัลแก่บางคนสำหรับความสำเร็จของเขาตามแต่โอกาส เหตุใดเล่าท่านจึงคิดว่าท่านอ๋องให้เกียรติท่านไม่ต่างจากบุคคลอื่น ท่านและท่านอ๋องสนิทสนมชิดเชื้อราวกับเป็นร่างกายเดียวกัน อีกทั้งท่านก็ร่วมสุขร่วมทุกข์มากับท่านอ๋อง ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะตัดสินความรู้สึกของท่านอ๋องจากของขวัญและตำแหน่งศักดินาที่ได้รับ ข้าเป็นคนส่งสาร ก็จักต้องทำตามหน้าที่ ถ้าท่านปฏิเสธการแต่งตั้ง ข้าก็จะต้องกลับไปด้วยความเสียใจที่ไม่อาจทำหน้าที่ให้ลุล่วง และข้าคิดว่าท่านเองก็อาจจะเสียใจเช่นกัน" กวนอูประทับใจมาก เขายอมรับความผิดของตนและรับการแต่งตั้งจากเล่าปี่โดยดีในทันที ในปีเดียวกัน กวนอูแต่งตั้งบิฮองเจ้าเมืองลำกุ๋นให้ป้องกันเมืองกำเหลง และมอบหมายให้แม่ทัพเปาสูหยินป้องกันเมืองกองอั๋น ส่วนตัวเขาเองนำทัพไปโจมตีโจหยินที่อ้วนเซีย โจหยินตั้งค่ายอยู่ทางเหนือของอ้วนเซีย ส่วนอิกิ๋มและบังเต๊กตั้งค่ายอยู่ทางเหนือของอ้วนเซีย เกิดฝนตกหนักในเดือนแปด ระดับน้ำสูงมากจนพังตลิ่งแม่น้ำฮันซุย ทัพของอิกิ๋มถูกน้ำท่วมหนักจึงไต่ขึ้นที่สูงเพื่อหนีน้ำที่ไหลบ่าเข้ามา กวนอูฉวยโอกาสล่องเรือไปโจมตีพวกเขา อิกิ๋มเห็นเหลือกำลังจึงยอมจำนน ส่วนบังเต๊กต่อสู้ต้านทานตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง เขาใช้ธนูยิงทัพของกวนอูจนลูกธนูหมด ทหารของเขายอมจำนนกันหมด เขาลงเรือเล็กเพื่อกลับค่ายของโจหยิน แต่เรือของเขาพลิกคว่ำ เขาต้องเกาะเรือที่พลิกคว่ำไว้ อาวุธเขาถูกสายน้ำพัดหายไป เมื่อไม่มีอาวุธเขาจึงถูกกวนอูจับได้ในที่สุด บังเต๊กเดินมาหน้ากวนอูและไม่โค้งคำนับ กวนอูกล่าวว่า "ท่านก็มีลูกพี่ลูกน้องอยู่ฮั่นจง ข้าเองก็ยินดีที่จะมีลูกน้องเช่นท่าน เหตุใดท่านจึงไม่สวามิภักดิ์โดยดี" "ไอ้ไพร่สถุล" บังเต๊กสบถ "เหตุใดเจ้าจึงพูดถึงการยอมจำนนเล่า ท่านวุยอ๋องของเรามีทหารกว่า1ล้าน อำนาจของเขาสะเทือนแผ่นดิน เล่าปี่ของเจ้าไม่มีสิ่งใดพิเศษเลย ไม่มีทางจะสู้เขาได้ ข้ายอมตาย แต่ไม่มีทางจะยอมรับใช้โจรกบฏเป็นอันขาด" กวนอูเมื่อฟังคำบังเต๊กก็รู้ว่าบังเต๊กไม่มีทางสวามิภักดิ์ตนแน่ เขาจึงสั่งฆ่าบังเต๊กเสีย แต่เขาก็นับถือความกล้าหาญจงรักภักดีของบังเต๊ก และยกย่องว่าบังเต๊กเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ศึกครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงกวนอูดังระบือไปทั่วแผ่นดิน โจโฉยังหวาดหวั่นถึงขนาดจะย้ายเมืองหลวงหนี แต่สุมาอี้และเหล่าที่ปรึกษาแนะนำว่า "กวนอูเป็นคนเก่งแต่เย่อหยิ่งทรนงตัว ถ้ายุให้ซุนกวนแห่งง่อเข้าตีเกงจิ๋วได้ กวนอูจะขาดฐานที่มั่นและเราจะมีโอกาสชนะ" ซุนกวนส่งลกซุนมาประจำการที่เกงจิ๋วแทนลิบอง กวนอูเห็นเช่นนั้นก็ได้ใจเพราะเห็นว่าลกซุนเป็นแค่บัณฑิตหนุ่ม ลกซุนเห็นได้ทีจึงเขียนจดหมายมาสรรเสริญกวนอูอีกจนกวนอูวางใจ กวนอูเมื่อรบชนะอิกิ๋มและได้เชลยศึกจำนวนมาก เสบียงของเขาก็เริ่มขาดแคลน กวนอูจึงถือวิสาสะยึดคลังเสบียงของซุนกวนที่ เซียงกวน ไปโดยไม่บอกกล่าว กวนอูยกทัพขึ้นเหนือมายังอ้วนเซีย แต่คราวนี้เขาเจอกับซิหลงขุนพลผู้เก่งกาจของโจโฉ เขาถูกซิหลงใช้กลศึกโจมตีพ่ายแพ้ ต้องถอยทัพกลับไป แต่กลับได้ทราบข่าวร้ายว่าลิบองได้ยึดเกงจิ๋วไปแล้ว เขารีบนำทัพกลับลงใต้ทันที ตอนแรกโจหยินคิดจะตีตลบหลังกวนอู แต่เอียวงันห้ามไว้ และต่อมามีคำสั่งจากโจโฉมาว่าไม่ให้ยกทัพตามกวนอู โจหยินจึงเลิกล้มความคิดนี้ กวนอูส่งทูตไปหาลิบองหลายครั้ง ลิบองนำทูตเหล่านั้นไปรอบเมือง เหล่าชาวเมืองได้ฝากจดหมายไปให้ญาติๆของพวกเขาที่อยู่ในกองทัพกวนอู เมื่อกองทัพกวนอูได้รับจดหมายจากญาติพี่น้อง จึงไม่มีจิตใจต่อสู้ กวนอูมุ่งหน้าไปตะวันตกยังเมืองเป๊กเสีย ซุนกวนส่งทูตไปขอให้เขายอมจำนน เขาแกล้งตกลงไป แต่กลับตั้งธงศึกบนกำแพงให้เหมือนมีทหารมากมาย แล้วก็ลอบหนีออกไป ซุนกวนส่งจูเหียนและพัวเจี้ยงไล่ตามกวนอูไป พวกเขาสามารถจับกวนอูและบุตรชายคือกวนเป๋งได้ที่เขาเจาสัน และกวนอูก็ถูกประหารในเดือนสิบสองของปี ค.ศ.219 รวมอายุได้ 57 ปี...หัวของกวนอูถูกซุนกวนส่งไปให้โจโฉ ณ นครฮูโต๋ ซึ่งมันเป็นอุบายที่จะหลอกเล่าปี่ว่าโจโฉเป็นคนสั่งให้ฆ่ากวนอู เพื่อให้เล่าปี่ไปทำสงครามกับโจโฉแทน แต่โจโฉรู้ทันจึงจัดงานศพให้แก่กวนอูอย่างสมเกียรติ ฝังซากศพของกวนอูไว้ ณ ประตูเมืองโลหยาง(ลกเอี๋ยง)ด้านใต้ ส่วนเล่าปี่ก็ไม่หลงกลและโกรธแค้นซุนกวนมาก ซึ่งมันทำให้เกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างเล่าปี่กับซุนกวน สงครามครั้งนี้ถูกเรียกกันว่า "สงครามอิเหลง" หรือสงครามหยีหลิง..ซึ่งลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินของเล่าปี่ในปี ค.ศ.222... (1) บางแห่งก็ว่าชื่อรองเดิมของกวนอูคือโซ่วฉาง แต่โซ่วฉางกับฉางเซิงก็มีความหมายเหมือนกันคืออายุยืน (2) แปลว่าเมฆยาว (3) สามก๊กฉบับท่านเจ้าพระยาพระคลัง(หน)เรียกง้าวของกวนอูว่า ง้าวนิลนาคะ (4) ที่จริงแล้วประวัติศาสตร์บันทึกว่าซุนเกี๋ยนต่างหากที่เป็นคนฆ่าฮัวหยงได้ (5) ที่จริงแล้วเหตุการณ์3พี่น้องรุมรบลิโป้ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ฉบับของเฉินโซ่ว(ตันซิ่ว) (6) ประวัติศาสตร์บันทึกว่าคนที่ฆ่าโจโก๋คือกองทัพของโตเกี๋ยมที่ไปตั้งค่ายอยู่แถวๆนั้น (7) ประวัติศาสตร์บันทึกว่ากวนอูยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข (8) ประวัติศาสตร์บันทึกว่าโจโฉเป็นคนฆ่าบุนทิวด้วยกลศึก (9) ไม่มีเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์ (10) เหตุการณ์นี้ไม่มีในประวัติศาสตร์ และไม่สมเหตุสมผลด้วย เนื่องจากบทงิ้วเขียนว่าโจโฉหนีวกไปวนมาราวกับไปทัศนาจรนอกสถานที่ ซึ่งไม่มีเหตุผลจะต้องทำเช่นนั้น (11) เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่หลอกว้านจงแต่งขึ้น ตามประวัติศาสตร์จริงฮันเหียนเจ้าเมืองเตียงสายอมจำนนต่อเล่าปี่เอง ส่วนอุยเอี๋ยนและฮองตงนั้นเพิ่งจะมาสวามิภักดิ์เมื่อตอนที่เล่าปี่ไปบุกยึดฮั่นจงในปี ค.ศ.219 ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่กวนอูไม่พอใจที่ฮองตงได้รับแต่งตั้งเป็นนายพล เพราะเขาเพิ่งมาสวามิภักดิ์ใหม่นั่นเอง (12) เหตุการณ์นี้ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์บางฉบับ อาจเป็นเรื่องแต่งของหลอกว้านจง (13) บทงิ้วกล่าวว่าเล่าปี่ตั้งนายพลทีเดียว2คนคือม้าเฉียวและฮองตงในปี ค.ศ.219 และกวนอูก็ไม่พอใจเพียงครั้งเดียว ส่วน "ยกเครื่องเรื่องสามก๊ก" ของเล่าชวนหัว กล่าวว่ากวนอูไม่พอใจเมื่อเล่าปี่ตั้งนายพลทั้ง2ครั้ง ครั้งแรกคือม้าเฉียวในปี ค.ศ.214 ซึ่งขงเบ้งต้องส่งจดหมายไปสรรเสริญกวนอู ส่วนครั้งที่2 คือฮองตงในปี ค.ศ.219 บีสึต้องเกลี้ยกล่อมกวนอูจนเขายอมรับตำแหน่ง ส่วนสามก๊กประวัติศาสตร์ของพี่ซุนเซ็กบอกว่าเล่าปี่แต่งตั้งฮองตง ม้าเฉียว กวนอูในปีเดียวกันคือ ค.ศ.219 แต่กวนอูไม่พอใจฮองตงเพียงคนเดียว และไม่บันทึกเหตุการณ์ในปี 214 ที่ขงเบ้งส่งจดหมายไปสรรเสริญกวนอูแต่อย่างไร (14) เฉาเซินเป็นเพื่อนเก่าของหลิวปังที่ร่วมก่อการมาด้วยกันตั้งแต่อำเภอพ่าย ต่อมาเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของราชวงศ์ฮั่นต่อจากเซียวเหอ เขายังเป็นต้นตระกูลของเฉาเถิงหรือโจเท้ง ขันทีเฒ่าซึ่งต่อมารับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลแฮหัวเป็นบุตรบุญธรรม เด็กหนุ่มคนนี้ในเวลาต่อมาก็คือเฉาซง...โจโก๋ บิดาของโจโฉนั่นเอง บทนี้ขอเปลี่ยนดอกจันเป็นตัวเลขนะครับ เพราะดอกจันเยอะเหลือเกิน(มี11ดอก) ถ้าเขียนดอกจัน คนอ่านคงต้องมานั่งนับกันมึน เสียอรรถรสเปล่าๆ ครับ บทความนี้ได้นำข้อมูลมาจาก ยกเครื่องเรื่องสามก๊ก ชำแหละกึ๋นเล่าปี่ ของเล่าชวนหัว สามก๊กฉบับประวัติศาสตร์ของพี่ซุนเซ็ก บทความเจาะลึกเหล่าขุนพลสามก๊กของพี่อีเกิ้ล ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ และถ้าทำผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยครับ